คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ... คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ... คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

ลงทุนในตราสารหนี้ เสีย “ภาษี” อย่างไร*


ลงทุนในตราสารหนี้ เสีย “ภาษี” อย่างไร*



          การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนที่อยู่ในฐานะของบุคคลธรรมดา (Individual Investor) หรือ ‘‘นักลงทุนรายย่อย’’ ต่างก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ในปัจจุบันกลับพบว่ายังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตราสารหนี้ และยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยอีกเป็นจำนวนมากไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตราสารหนี้ไม่ใช่เรื่องยากหรือมีความสลับซับซ้อนแต่อย่างใดเลย
          เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจจะแบ่งรูปแบบของผลตอบแทนหรือรายได้ที่จะได้รับจากการลงทุนในตราสารหนี้ออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ 1. รายได้จากดอกเบี้ย (Coupon) 2. รายได้จากส่วนลด (Discount) และ  3. รายได้จากกำไรจากการขาย (Capital Gain) โดยผลตอบแทนหรือรายได้ทั้ง 3 รูปแบบนี้จะถูกนำมาคิดภาษีในลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับในรูปของดอกเบี้ยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% ตัวอย่างเช่น ถ้าลงทุนซื้อตราสารหนี้ที่สัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยปีละ 100 บาท จำนวนเงินจากดอกเบี้ยที่จะได้รับจริงจากการถือตราสารตัวนี้ไว้คือ 85 บาท อีก 15 บาท หรือ 15% นั้น ถูกคิดเป็นภาษีและถูกหัก ณ ที่จ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
          สำหรับตราสารหนี้ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยนั้น โดยทั่วไปแล้วมักจะถูกขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าหน้าตั๋ว หรือที่เรียกว่าเป็นการขายแบบมีส่วนลด (Discount) และหากว่าผู้ซื้อถือครองเอาไว้โดยไม่ได้ขายให้ใครเลยจนครบเวลาไถ่ถอน ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนเท่ากับมูลค่าหน้าตั๋ว ตัวอย่างเช่น หากลงทุนซื้อตั๋วเงินคลัง (ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย) ที่มีมูลค่าหน้าตั๋วเท่ากับ 1,000 บาท โดยซื้อได้ที่ราคา 940 บาท ส่วนลดจำนวน 60 บาท (1,000 - 940) นี้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% ครับ ซึ่งหมายความว่าจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อตั๋วเงินคลังรุ่นนี้เป็นจำนวน 940 + 9 (15% ของ 60 บาท) = 949 บาท จากเดิมที่ได้ส่วนลดเท่ากับ 60 บาท ก็จะเหลือส่วนลดแค่ 51 บาท เนื่องจากว่าถูกคิดเป็นภาษี 15% และถูกหัก ณ ที่จ่ายไปเรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญภาษีจากส่วนลดนี้จะคิดเพียงแค่ครั้งเดียว และคิดเฉพาะกับผู้ซื้อคนแรกเท่านั้น ถ้าหากว่าผู้ซื้อคนแรกทำการขายให้กับผู้ซื้อคนต่อๆ ไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการขายที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าหน้าตั๋วหรือไม่ก็ตาม ก็จะไม่มีการเรียกเก็บภาษีส่วนลดอีก แต่ยังมีภาษีจากกำไรจากการขาย ที่ต้องถูกนำมาพิจารณากันต่อไป
          สำหรับภาษีประเภทสุดท้ายหรือภาษีที่คิดจากกำไรจากการขาย (Capital Gain Tax) ผู้ขายจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% เช่นกัน แต่ถ้าหากว่าเป็นการขายที่ผู้ขายขาดทุนก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี ตัวอย่างเช่น หากซื้อตราสารหนี้มาที่ราคา 940 บาท และขายไปที่ราคา 980 บาท กำไรที่ได้จากการขายจำนวน 40 บาท นี้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% หรือเท่ากับ 6 บาท นั่นเอง ซึ่งหมายความว่าจะได้รับเงินจากการขายทั้งหมดเท่ากับ 980 - 6 (15% ของ 40 บาท) = 974 บาท แต่ถ้าหากว่าซื้อตราสารหนี้มาที่ราคา 940 บาท และขายไปที่ราคา 920 บาท เงินที่ขาดทุนไป 20 บาท นี้ไม่ต้องถูกนำมาคิดภาษี

          จะเห็นได้ว่าภาษีของการลงทุนในตราสารหนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนเลย นอกจากนี้แล้วจะพบว่าในปัจจุบันภาษีที่เรียกเก็บจากนักลงทุนรายย่อยจะถูกคิดที่อัตรา 15% เท่ากันสำหรับผลตอบแทนทุกๆ ประเภทที่ได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ ดังนั้นสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่มีเงินได้สุทธิไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีที่ระดับ 15% (ในปัจจุบันคือผู้ที่มีเงินได้สุทธิต่อปีไม่เกิน 500,000 บาท) สามารถนำหลักฐานการเสียภาษีจากการลงทุนในตราสารหนี้แล้วมายื่นให้กรมสรรพากรพร้อมๆ กับการยื่นแบบ ภ.ง.ด. เพื่อขอคืนภาษีในส่วนที่จ่ายเกิน (15% - 10% = 5%) ได้อีกด้วย
___________________________
* โดยนายสุชาติ ธนฐิติพันธ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หนังสือพิมพ์ผู้จัดการวันที่ 3 เมษายน 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น